ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มีความละอาย

๑๖ ก.ค. ๒๕๖o

มีความละอาย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ถาม : การใช้มือถือของพระสงฆ์

๑. กระผมมีข้อสงสัยในการใช้โทรศัพท์ของพระสงฆ์ว่าสมควรเหมาะสมอย่างไร

๒. กรณีใช้แล้วถ้าพูดคุยสนทนาในสายกับสีกาสองต่อสอง ซึ่งไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน มีอาบัติที่ปรับได้หรือไม่ครับ

๓. การใช้โซเชียลมีคลิปโป๊ คลิปไม่เหมาะสมมากมาย มันจะเหมาะสมกับพระสงฆ์อย่างไร

กราบนมัสการหลวงพ่อเทศนาโปรดเพื่อเมตตาต่อสัตว์โลกครับ

ตอบ : ไอ้นี่มันไม่ใช่หรอก ไอ้นี่มันขุดหลุม ขุดหลุมล่อปลาน่ะ

ในสังคมๆ ส่วนใหญ่ “กราบนมัสการหลวงพ่อช่วยโปรดเมตตาสัตว์โลกด้วยครับ” ไอ้กรณีนี้มันกรณีที่ว่าความเหมาะสมความไม่เหมาะสมเนาะ แล้วถ้าพูดไปแล้วมันบาดหมางไปทั้งนั้นน่ะ

ทีนี้มันอยู่กับสังคมโลก สังคมโลกนะ เรามีนะ พวกแบบว่าพ่อของพระเขามาเล่าให้ฟัง มันมีอยู่ในอเมริกา ในยุโรป มันมีสังคม สังคมที่ต่อต้านเทคโนโลยีเขาจะมีหมู่บ้านของเขาเลย ถ้าเขามีหมู่บ้านของเขาเลย เขาอยู่ในหมู่บ้านนั้น เวลาออกจากหมู่บ้านไปทำงาน เขาก็ออกมาอยู่กับโลกปัจจุบันนี้ เขาก็ทำงานด้วยเทคโนโลยีนี่แหละ แต่เวลาเขากลับไปในบ้านของเขา ในหมู่บ้านเขานะ เขาปฏิเสธมือถือ เขาปฏิเสธเทคโนโลยีทั้งหมด เขาอยู่แบบ เราไปดูแล้วนะ มันเหมือนพระนะ ดีกว่าพระอีก

นี่พูดถึงว่าในทางโลก ในทางสังคมที่เขาต่อต้านเทคโนโลยี เขามีแบบว่าเป็นสมาคมเลย เป็นสมาคมแล้วเขามีหมู่บ้านของเขา ในหมู่บ้านของเขา เวลาเข้าไปในหมู่บ้านของเขาแล้ว เขาจะอยู่กับธรรมชาติ ว่าอย่างนั้นเลย จะบอกยุคโบราณก็ไม่ใช่ เขาอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับความเหมาะสมของเขาในความเชื่อของเขา

แต่เขาต้องประกอบอาชีพ เขาต้องมีอาชีพของเขา เวลาเขาจะประกอบอาชีพของเขา เขาออกจากหมู่บ้าน เช้าก็ไปทำงานไง ทำงานก็ออกหมู่บ้านมา เขาก็ไปอยู่กับโลกนี่แหละ เขาก็อยู่กับสังคมนี่แหละ แต่เวลากลับบ้านไปน่ะ เราจะบอกว่า ในสังคมโลกเขาก็มีมุมมองอย่างนี้เหมือนกัน ในสังคมโลก โลกนี้เจริญมาก แล้วคนที่เขาประกอบสัมมาอาชีวะเขาอยู่กับเทคโนโลยี เขามีปัญญานะ แล้วเขาไม่ใช่นักบวชด้วย

แต่พระเรา พระเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นศาสดาของเรา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้ เราเป็นนักบวชด้วย เรามีศีลด้วย

ถ้าเขามีสังคมอย่างนั้น มันน่าจะเทียบเคียงไง นี่เขาอยู่โดยปุถุชน เขาอยู่โดยสังคม เขาอยู่โดยความเห็นของเขา เขายังปฏิเสธเลย แต่พระล่ะ ฉะนั้น เวลาพระเรามันแบบว่าสมณสารูป มันก็ไม่สมควรอยู่แล้วล่ะ สิ่งใดที่ไม่สมควรมันไม่ควรทำ

แต่คำถามของเขา “๑. กระผมมีข้อสงสัยในการใช้โทรศัพท์ของพระสงฆ์ว่าสมควรเหมาะสมหรือไม่อย่างไร”

นี่สมควรเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ถ้าคำว่า “โทรศัพท์ใช้ได้หรือไม่” ถ้าเราบอกในความเห็นของเราว่าได้ ถ้าใช้ในการสื่อสาร ในการสื่อสารนี่ใช้ได้

เวลาพระเรา เราปฏิเสธ ปฏิเสธว่าพระขับรถไม่ได้ พระนี่นั่งรถได้ไหม ได้ เวลาเคร่งครัดขึ้นไปบอกว่าไม่ได้ เราบอกว่าได้

เพราะในสมัยพุทธกาล เวลาพระในสมัยพุทธกาล เวลา ๒,๐๐๐ กว่าปีมานี้มันมีรถระหว่างแคว้นนะ รถระหว่างแคว้นเขาใช้รถม้า ใช้รถม้าไง น้องสาวหรือของใครที่จิตตคหบดีเป็นคนไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า ผู้ที่มาบวชเป็นพระ ลูกเศรษฐีกุฎุมพีก็มี ลูกคนทุกข์คนจนก็มี เวลาการเดินทางมันไม่สะดวก

นางวิสาขาเป็นผู้ขอถวายเงิน ทีแรกว่าจะถวายเงิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุญาต พอไม่อนุญาตปั๊บ พอนางวิสาขามาขอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงอนุญาต อนุญาตให้ยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้นจากเงินและทอง คือตั๋วรถข้ามแคว้นไง แต่ไม่ให้ยินดีในตัวเงินและตัวทอง จิตตคหบดีเป็นผู้ขอมั้ง

ในสมัยนั้นน่ะมี นั่นคือรถข้ามแคว้นใช่ไหม แต่ในปัจจุบันนี้มันมีรถยนต์ พระนั่งรถได้ไหม ถ้าบอกว่าไม่ได้ก็หมดเลย อดนั่งหมดเลย

พระนั่งรถได้ แต่ผู้หญิงขับรถ พระนั่งไม่ได้ เพราะในสมัยพุทธกาลก็เหมือนกัน ผู้หญิงขับ นั่งไม่ได้ นั่งใกล้ผู้หญิงไม่ได้ ฉะนั้น พระนั่งรถได้ไหม ได้ ฉะนั้น พระจะมีคนขับรถ

นี่เหมือนกัน พระใช้โทรศัพท์สมควรหรือไม่สมควร

ถ้าใช้ในการสื่อสาร เราว่าได้ ใช้ในการสื่อสาร ในการสื่อสาร แต่มันต้องมีความเหมาะสมไง

เราเห็นพระนะ พระบางองค์เขาจะใช้โทรศัพท์ เขาไปในที่เหมาะสมคือไม่ให้ใครเห็น พระบางองค์เขามีความละอายแก่ใจ เขาจะพูดนี่เขาไม่พูดแบบโลกหรอก เหมือนทางโลก ตอนนี้สังคมก้มหน้าน่ะ กดๆๆ กันน่ะ แต่พระเขาไม่ทำอย่างนั้น เวลาจะใช้โทรศัพท์เขาไปที่ลับหูลับตาของคนแล้วเขาคุยโทรศัพท์ คือไม่ให้บาดตา ไม่ให้บาดตาประชาชน

เราเห็นนะ เวลาเราไปประชุมสงฆ์หรือไปในงาน เราสังเกตดูพระ พระองค์ใดทำนะ เขาฉลาด พระบางองค์นะ เวลาเขาทำงาน เขาโทรศัพท์นะ เขาเอาหนังสือ แล้วเขาเอาไว้ในหนังสือ เออ! เราบอกพระองค์นี้ใช้ได้ เขารู้จักสมณสารูป เขารู้ถึงว่ามันไปบาดสายตาชาวโลก เขาจำเป็นต้องใช้ แต่เขาใช้โดยที่ว่าไม่ให้ไปบาดสายตาเขา

แต่พระบางองค์ไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วยิ่งพระบางองค์ พระบางองค์ที่บอกพอได้โทรศัพท์มานี่ ไอโฟน ๖ คืออยากโชว์แบบโลก อยากโชว์เขาว่าข้าก็มี อย่างนี้ไม่สมควร

แต่ถ้าสมควรจำเป็นต้องใช้ไหม ใช้ได้ไหม ใช้ได้ แต่ควรให้สมควร คืออย่าไปประเจิดประเจ้อ ไม่สมควรทำอย่างนั้น เรามีความจำเป็นต้องสื่อสาร ถ้าเราไม่ใช้โทรศัพท์ เราจะติดต่อกันด้วยการเดินทาง มันใช้เวลาเป็นวันๆ เราใช้โทรศัพท์ เราใช้การสื่อสาร เราใช้เพื่อประโยชน์ได้ไหม ได้

แต่ถ้าใช้แล้วไปอวดไปอ้าง เพราะอะไร สมณสารูปมีบริขาร ๘ พระเรามีบริขาร ๘ มันไม่มีบริขารที่ ๕ ที่ ๖ หรอก ไม่มี แล้วสิ่งนั้นมันไม่ใช่บริขารของพระ ความจริงแล้วมันไม่จำเป็นต้องใช้ด้วย

มีพระหลายองค์มากที่ไม่มีโทรศัพท์ พระที่เขาไม่มีโทรศัพท์เพราะเขามีความละอายของเขา เพราะเราหลีกเร้นมา เราบวชมาเพื่ออะไร บวชมา บวชมาออกจากครอบครัว ออกจากบ้านมา เราก็ไม่ต้องการสื่อสาร ไม่ต้องการติดต่อเขาอยู่แล้ว นี่เราอยากจะสื่อสาร อยากจะติดต่อ ติดต่อครูบาอาจารย์ของเรา ติดต่อกับหมู่สงฆ์ของเรา เราไม่จำเป็นต้องไปติดต่อกับเขา

เราละทิ้งบ้าน ละเรือนมา ละทิ้งบ้านเรือนมา เราบวชเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราจำเป็นต้องมีโทรศัพท์ไปสื่อสารกับเขาหรือ เราไม่มีความจำเป็นเลย พระที่ดีๆ ไม่มีโทรศัพท์เยอะแยะ แต่พระที่มีก็เยอะ ทีนี้พระที่มีก็เยอะ เขาถึงได้ถามมา

ฉะนั้นว่า พระใช้โทรศัพท์ เวลาการใช้โทรศัพท์ของสงฆ์สมควรหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่

สมควรเหมาะสมก็เหมาะสมเพื่องานของสงฆ์ ดูสิ เวลาที่วัดหลวงตา วัดป่าบ้านตาด ท่านก็บอกว่าที่วัดก็มีไว้ตัวหนึ่ง มีไว้ที่ในวัดเป็นการสื่อสารกับโลกภายนอก

แต่กรณีนี้เริ่มต้น กรณีเมื่อก่อนแบบว่ามีคนมาขอติดตั้งโทรศัพท์ในวัดท่าน ท่านไม่ยอม ท่านไม่ให้ ตั้งแต่สมัยที่ว่าท่านยังไม่ออกมาโครงการช่วยชาติฯ เวลาออกมาโครงการช่วยชาติฯ แล้ว ท่านบอกว่าในวัดก็มีไว้ตัวหนึ่ง มีไว้เวลาติดต่อสื่อสารเข้าไปในวัดนั้นน่ะ

แต่เวลาคนที่ทำงานแล้วทุกคนก็มีความจำเป็นทั้งนั้นน่ะ เขาก็มีของเขา แต่เวลามีความจำเป็นของเขา หลวงตาท่านบังคับพระนะ ดูสิ เวลาท่านพูดถึงว่า เพชฌฆาตทำลายพระสงฆ์

๑. หนังสือพิมพ์

๒. โทรศัพท์

๓. เทวทัต

สิ่งที่ว่าเป็นเครื่องมือที่จะประหารชีวิตของพระมีอยู่ ๔ อย่าง แล้วท่านเตือนพระประจำ ไปไหนท่านเตือนประจำนะ โทรศัพท์นี่สำคัญมากเลย หนังสือพิมพ์ ทีวี วิดีโอ ๔ ชนิดนี้ทำลายพระๆ ถ้าพระขาดสติปัญญา เรียบร้อย ฉะนั้น ท่านถึงบอกว่า นี่เพชฌฆาตทำลายพระ ๔ อย่าง นี่เป็นปรัชญาของหลวงตา หลวงตาท่านสั่งสอนกับลูกศิษย์ลูกหาไว้

ฉะนั้นว่า “กระผมสงสัยว่าการใช้โทรศัพท์ของพระสงฆ์สมควรเหมาะสมแค่ไหน”

ถ้าใช้ในกิจของสงฆ์ ใช้ในการติดต่อสื่อสารนั่นได้

“๒. กรณีที่ใช้แล้วถ้าพูดคุยสนทนาในสายกับสีกาสองต่อสอง ซึ่งไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน มีอาบัติปรับได้หรือไม่ครับ”

ไอ้นี่คำว่า “เป็นอาบัติ” นะ มันมีความละอายของสงฆ์ เวลาถ้าความละอายของสงฆ์ ถ้าเขามีความละอายของเขา เขาจะไม่ทำอย่างนั้น ถ้าเขามีความละอาย

เราจะบอกว่า อาบัติหรือโทษมันเป็นนามธรรม มันเป็นเรื่องส่วนตัวใช่ไหม แต่ถ้ามันทำอาบัติประเจิดประเจ้ออย่างนี้ อย่างนี้เขาว่าอาบัติของจิตไม่มี อาบัติมีแต่การกระทำ

ฉะนั้น เวลาถ้าไม่มีโทรศัพท์ เวลาสนทนาธรรมสองต่อสองกับสีกาในที่ลับหูลับตาเป็นทันทีเลย อนิยต ๒ ถ้าอนิยต ๒ นะ ผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ อย่างเช่นนางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเวลาพูดไม่ลูบคลำในศีล เขาต้องพูดโดยสัจจะอยู่แล้ว ถ้านางวิสาขามาโจทว่าพระองค์นี้เป็นอาบัติอย่างไร ปรับอย่างนั้นเลย เพราะว่ากฎหมายข้อนี้ก็เกิดมาจากนางวิสาขา นางวิสาขาไปเห็นพระคุยสองต่อสองต่อหญิง ก็มาฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บัญญัติขึ้นมา ในที่ลับหู เขาก็ไปพูดในที่แจ้ง พระพุทธเจ้าบอกว่าลับหูลับตาเป็นหมดเลย ถ้าผู้ที่น่าเชื่อถือมาปรับอาบัติ

พูดถึงอย่างนั้นเราเห็นตัวตนไง ระหว่างพระกับสีกา เราเห็น แต่เวลาพูดโทรศัพท์มันไม่เห็นน่ะ เวลาพูดโทรศัพท์เราไม่เห็นหรอกว่าพระพูดอยู่กับใคร

เราถึงว่ามันอยู่ที่ความละอายไง เพราะมันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นนี่ว่าสีกาอยู่ที่ไหน แล้วพระที่คุยอยู่ที่นี่ เราก็เห็นนะ พระคุยโทรศัพท์อยู่ แต่คุยกับใครล่ะ แล้วถ้าจะบอกว่าเป็นอาบัติๆ มันก็ต้องปรับอาบัติใช่ไหม แต่เราไม่เห็นซึ่งๆ หน้า ถ้าไม่เห็นซึ่งๆ หน้า

แต่เขาบอกว่า ถ้าพูดกรณีพูดกับสีกาสองต่อสอง สิ่งที่พูดนั่นเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ สิ่งนี้มันเป็นอาบัติหรือไม่

อาบัติมันมีวินัยอยู่แล้ว ทีนี้พอมันมีวินัยอยู่แล้ว มันก็อยู่ที่ว่ามีความละอายหรือไม่ เวลาพูดนะ มันความสนิท ความคุ้นเคยนี่สำคัญมาก เริ่มต้นก็คุยเรื่องธุระนะ คุยธุระทั้งนั้นน่ะ พอคุยไปๆ มันจากธุระไป ธุระของสงฆ์เลยกลายเป็นธุระส่วนตัวเลย จากธุระสาธารณะก็เป็นธุระของเราเลย ถ้าอย่างนี้มันก็ชักไปน่ะ ฉะนั้น มันก็แบบว่า นี่มันไปต่อเนื่องๆ มันเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้นบอกว่า “แล้วจะปรับอาบัติได้หรือไม่”

ถ้าปรับอาบัติได้หรือไม่ ภาษาเราว่ามันเป็นความละอาย ถ้าความละอาย เราอยู่ในวงกรรมฐาน เวลาที่ออกประพฤติปฏิบัติ พระจะระวังเรื่องนี้มาก เวลาเที่ยวป่าเที่ยวเขาด้วยกัน เวลาเขามีความผิดพลาดอย่างไรหรือว่าเขาไม่แน่ใจตัวเขา เขาจะมาปลงอาบัติเลย

เพราะสมัยที่หลวงตาท่านบอกเลย เวลาของท่านนะ ก้าวเดินออกถนนไปก็ป่าทั้งนั้น พอก้าวเข้าไปในป่ามันก็มีสิงสาราสัตว์ทั้งนั้น เวลาก้าวไปแล้วที่มันแรงๆ ท่านอยู่ถ้ำเจ้าภูข้า ไปนอนน่ะดึงขาเลย สิ่งที่เวลาเข้าป่าไปแล้วมันเจอสภาพแบบนั้น ถ้าใครหัวใจที่ไม่มั่นคง หัวใจที่ตัวเองระแวง ต้องรีบปลงอาบัติเลย ปลงอาบัติๆ เห็นไหม

นี่ถ้าพูดถึงว่า เวลาในวงกรรมฐาน เวลาสังคมที่ปฏิบัติอยู่มันระแวง พอมันระแวงในใจมันภาวนาไม่ได้หรอก เราเข้าไป เราเพื่อทำความสงบของใจ เราหายใจเข้านึกพุท เราหายใจออกนึกโธ เรานั่งสมาธิภาวนา แล้วมันจะสงบอย่างไรล่ะ

แล้วมันไม่สงบขึ้นมา แล้วมันเป็นเรื่องส่วนตัวใช่ไหม เรื่องส่วนตัว เราไปธุดงค์ไปกับพระ ๒ องค์ ๓ องค์ มันปลงอาบัติทันที เพราะตัดความระแวงอันนี้ ตัดความสงสัยในใจของเราว่าเราเป็นอาบัติหรือไม่

ถ้าเราตัดความระแวง ตัดความสงสัยในหัวใจ มันไปภาวนามันมีโอกาส หนึ่ง ภาวนามีโอกาสเพราะมันไม่ครุ่นคิด ไม่มีไฟสุมขอนในใจ แล้วถ้าเราไม่เป็นอาบัติแล้ว ศีลย่อมคุ้มครองเรา คุ้มครองเรา สิ่งที่ว่าเรื่องภูตผีปีศาจ เรื่องจิตวิญญาณจะมากระทบกระเทือนเรามันก็น้อยลง

สิ่งที่เป็นเวรเป็นกรรม เราทำกรรมไว้ เวลาสัตว์ เมื่อปีที่แล้วที่ทุ่งใหญ่ พระเราเองพาพระไปวิเวก แล้วพาพระไปวิเวก เขาก็ไปวาง วางพระไว้เป็นจุดๆ แล้วตกเย็นเขาก็ไปเดินตรวจ มันโพล้เพล้ไง เสือมันโดดขึ้นข้างหลัง มันงับคอตายเลย นี่ไง เวลากรรม กรรมมันให้ผล เวลากรรมมันให้ผลนั่นน่ะเสือกัดตายเลย

เราจะบอกว่าไม่มีๆ เมื่อปีกลายก็ตายไปองค์หนึ่ง แล้วข่าวมันก็พยายามจะให้มันเคลียร์ไปไง นี่ไง เราไปอยู่ป่าอยู่เขา เพราะถ้าตัวเองไม่สะอาดบริสุทธิ์ มันจะมีอย่างนั้นน่ะ

ถึงบอกว่า เวลาในวงกรรมฐาน ในวงกรรมฐานที่ท่านปฏิบัติจริงจังนะ ไม่ใช่วงกรรมฐานแต่ชื่อ เดี๋ยวนี้มันชื่อกรรมฐานแต่ทำอะไรก็ไม่รู้ ไอ้อย่างนั้นยกเว้น

เราเอาพระกรรมฐานที่ประพฤติปฏิบัติกรรมฐานจริงๆ นั่นถึงเรียกว่ากรรมฐาน เพราะกรรมฐาน เพราะอะไร เพราะกรรมฐานมันซื่อสัตย์ไง กรรมฐานมันจะเอาชนะหัวใจของตนไง

ถ้ากรรมฐานจะเอาชนะหัวใจของตน เราเองเป็นคนกระทำใช่ไหม ไฟสุมขอนในใจ ใครมาทำให้เรา แล้วเราปฏิบัติ ใครมาทำให้เรา ศีล สมาธิ ปัญญา ใครมาทำให้เรา เราทำเองทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราทำเองทั้งนั้น ถ้ามันมีจุดมุ่งหมาย มันมีเป้าหมาย มันทำจริงทำจังขึ้นมา มันพยายามจะแก้ไขตรงนั้น เพราะอะไร เพราะมันมีเป้าหมายที่จะเอาความสงบของใจ มันมีเป้าหมายที่จะภาวนาให้ได้ไง ถ้ามีอย่างนั้นแล้วนะ เรื่องศีลอยู่ข้างนอกเลย

เรื่องศีล ที่ว่ากรณีใช้ไปแล้ว กรณีใช้ไปแล้ว ถ้าเขาคุยสนทนาธรรมในสายกับใคร

ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ทำ ถ้าคนที่ยังเป็นพระในหัวใจอยู่นะ ถ้ายังเป็นพระในหัวใจอยู่นี่เขาจะละ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนี้ เพราะถ้ายุ่งเกี่ยวกับสิ่งนี้ไปแล้วมันจะข้ามขอบเขตของความเป็นพระไป แล้วถ้าเป็นอาบัติไหม ก็อนิยต ๒ นี่พูดถึงความเป็นอาบัตินะ

“๓. ในโลกโซเชียลมันมีคลิปโป๊ คลิปไม่เหมาะสมมากมาย มันจะเหมาะสมกับพระสงฆ์หรือไม่”

คำว่า “ใช้โทรศัพท์” โทรศัพท์เมื่อก่อนมันก็เป็นโทรศัพท์ธรรมดาใช่ไหม แต่โทรศัพท์เดี๋ยวนี้พอมันเข้าเว็บไซต์ได้อะไรได้ โทรศัพท์มันพัฒนาขึ้น ถ้ามันพัฒนาขึ้น นี่มันเป็นเรื่องของโทรศัพท์ไง ถ้าพูดถึงคนที่เขาจะใช้โทรศัพท์ ใช้โทรศัพท์อย่างนั้น แล้วถ้ามันมีคลิปโป๊ คลิปต่างๆ อันนี้มันก็เข้ากับที่หลวงตาท่านพูดไว้

หลวงตาท่านพูดเลย สิ่งที่จะประหารพระ ๔ อย่าง โทรศัพท์ วิดีโอ คลิปโป๊ พวกนี้ มันเข้าได้หมดน่ะ ถ้ามันเข้าได้หมด พระเขาไม่เข้าไปดูหรอก เวลาพระที่เป็นกรรมฐานเทียมๆ เขาไปดูกันแล้วเขาบอกว่าเขาดูเพื่อเป็นอสุภะ นี่ไง เวลาพระมันจะแถนะ มันบอกว่า อ้าว! ดูเพื่อศึกษาไง ดูเพื่อเป็นอสุภะ

อสุภะมันจะเกิดจากจิตที่มันมีสัมมาสมาธิ ถ้าจิตมันไม่ลงสู่สมาธิ อสุภะเกิดไม่ได้หรอก เวลาอสุภะนี่ เวลาพูดโม้กันไป ไอ้อสุภะๆ น่ะขี้หมา

อสุภะจริงๆ นะ ถ้ามันจะเป็นอสุภะได้นะ เขาต้องสงบเสงี่ยม เขาต้องมีศีลของเขา เขาต้องมีสมาธิของเขา เวลาศีล สมาธิของเขา เขาไปเห็นอสุภะของเขา ตรงนั้นผู้ที่เห็นอสุภะเขาจะอยู่ในป่าในเขา เขาจะเข้มงวดของเขา เขาพยายามจะเอาของเขาให้พ้นจากกิเลสให้ได้ เพราะมันกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

เว้นไว้แต่จิตมันเสื่อม จิตมันเสื่อม มันเคยเห็นอสุภะ แล้วมันเห็นอสุภะไม่ได้ พอเห็นอสุภะไม่ได้ สิ่งที่เห็นอสุภะ ถ้าเขามีคุณธรรมรองรับ เขาเสื่อมไปเขาก็พยายามมุมานะของเขา

แต่ผู้ที่เป็นปุถุชนเวลาจิตสงบแล้วไปรู้ไปเห็น ไปเห็นกายต่างๆ เวลาจิตมันเสื่อม เสื่อมแล้วมันไม่มีสิ่งใดรองรับนะ มันเสื่อมหมดเลย เสื่อมจนมันประชดประชัน เสื่อมจนทำลาย เสื่อมแบบเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติ พอเสื่อมแล้วสึกเลย ปฏิบัติไปพอเสื่อมแล้วมันเลิกเลย อสุภะอย่างนั้นหรือ อสุภะอย่างนั้นมันก็สุดโต่งไง มันไม่เป็นความจริงไง

ฉะนั้นบอกว่า พระบางองค์ เราได้ยิน เขามาพูดไง เขาไปดูพวกนี้ ดูเป็นอสุภะ

ไอ้นี่คนพูดอย่างนี้แสดงว่าคนนี้สังคมมันอ่อนด้อย สังคมเขายังไม่เข้มแข็งไง ถ้าสังคมเขาเข้มแข็งเขาไม่กล้าพูดอย่างนี้หรอก คิดว่าเขาไปดูคลิปโป๊เพื่อดูอสุภะ ไอ้พวกนักปฏิบัติเหมือนกัน ไปดูหนังโป๊แล้วบอกเพื่อเป็นการปฏิบัติน่ะ มันไปกระตุ้นกิเลส มันไปปฏิบัติที่ไหนล่ะ

แต่ถ้าเป็นการปฏิบัตินะ จิตสงบก่อน จิตมันสงบนี่มันปราบปรามไอ้พวกกิเลสหยาบๆ แล้วใช่ไหม จิตจะสงบได้มันต้องถอดถอนไอ้พวกความฟุ้งซ่าน ไอ้ความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไอ้ความคิดที่ผิดพลาด มันถึงจะสงบได้

คำว่า “จิตสงบ” มันถอดถอนไอ้ความคิดทางลบ ความคิดทางเข้าข้างตัวเองหมดนะ มันถึงจะสงบได้ พอจิตมันสงบแล้ว จิตสงบแล้วพยายามน้อมไปให้เห็นกายนะ ความเห็นกายเห็นจากจิตอันนั้นน่ะ มันเป็นอย่างนั้นน่ะมันก็เป็นสัมมา คำว่า “สัมมา” คือว่ามันคิดดี คิดธรรมไง

แต่ถ้ามันปุถุชนน่ะ เราเป็นปุถุชน ปุถุชนคือกิเลสมันสุมอยู่เต็มหัวใจ เพราะมันมีแต่ขยะ มันมีแต่เปลวไฟอยู่กลางหัวใจ แล้วไปดูคลิปโป๊ มันจะเป็นอสุภะไปได้อย่างไร

คนเราจิตใจมันคอยจะคิดแต่เรื่องเสพกามกันอยู่แล้ว มันเคยคอยคิดแต่เรื่องโลกๆ อยู่แล้ว จิตใจของคนมันไหลลงต่ำอยู่แล้ว จิตใจของคนมันเหลวไหลอยู่แล้ว แล้วเข้าไปดูคลิปโป๊บอกเป็นอสุภะ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ โดยข้อเท็จจริงมันเป็นไปไม่ได้ โดยข้อเท็จจริงมันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ของการมักมากการหมกมุ่นอยู่ในเรื่องอย่างนั้น นั่นมันเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วมันจะเป็นอสุภะไปได้อย่างไร

แต่เขาพูดนะ เวลาดูด้วยกันก็อยากไง เพราะตัวเองก็ดูไม่ได้ ตัวเองก็ไม่มีปัญญาใช่ไหม เงินทองก็ไม่มีใช่ไหม ก็ต้องให้คนอื่นมาส่งเสริม ก็หามา สั่งเขานะ สั่งเขาหามา หามาเพื่อเป็นอสุภะ ไอ้พวกเซ่อๆ มันก็ส่งเสริมนะ เออ! เราส่งเสริมพระปฏิบัติเนาะ เรารีบหาคลิปโป๊ไปให้ท่านดู ท่านจะได้พิจารณาปลงธรรมสังเวช ท่านจะได้เห็นอสุภะ...นี่สังคมอ่อนด้อย คนอ่อนด้อยมันคิดกันอย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าสังคมความเป็นธรรมนะ เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะอันนั้นมันเกิดจากปัญญาประดิษฐ์ เกิดจากวิดีโอ เกิดจากเรื่องโลก มันไม่ได้เกิดจากความเป็นธรรม

เกิดจากความเป็นธรรมมันต้องจิตใจของผู้ที่ปฏิบัตินั้นสูงส่ง จิตใจของผู้ปฏิบัตินั้นมีคุณธรรมในใจ จิตของผู้ปฏิบัตินั้นเห็นความเป็นภัย

คนเราเห็นภัยในวัฏสงสารถึงมาบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วต้องมีศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ สิ่งใดที่ไปคลุกคลีก็ผิดพลาดทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมาพยายามทำหัวใจของตนให้มันเป็นศีล ศีล ๒๒๗ ใช่ไหม เวลาทำเพื่อความสงบระงับเข้ามาเพื่อเป็นสัมมาสมาธิใช่ไหม สัมมาสมาธิมันเกิดที่ไหน

เกิดบนหัวใจ เกิดบนหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิแล้ว ถ้ามันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั้นมันถึงจะเห็นกาย

การเห็นกาย การพิจารณากายนั่นเรื่องหนึ่ง เวลาจิตสงบแล้ว พิจารณาไปแล้วมันทิ้งกายเป็นชั้นๆ ขึ้นมา เวลาเข้าไปถึงกามราคะ ถ้ามันไปเห็นอสุภะ ความเห็นอสุภะเพราะจิตมันมีมหาสติ มหาปัญญา จิตที่มีมหาสติ มหาปัญญา จิตที่เห็นตามความเป็นจริง นี่จิตที่เห็นกายตามกามราคะนั้นมันจะเป็นอสุภะ

ถ้าเป็นอสุภะ มันเป็นมหาสติ มหาปัญญา มันจะสำมะเลเทเมาหยำเปแบบนั้นได้อย่างไร จิตที่เป็นนักปฏิบัติจริงๆ ที่มันดีงามแล้ว มันจะไปดูคลิปโป๊ว่าเป็นอสุภะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่สังคมอ่อนด้อย สังคมอ่อนด้อย สังคมที่ปรารถนาธรรม ปรารถนาบุญ สังคมที่ปรารถนาบุญ อยากจะสร้างบุญกุศล เห็นพระที่เขาดูคลิปๆ บอกว่าพิจารณาเป็นอสุภะ ส่งเสริมสนับสนุนกันว่านั่นเป็นอสุภะ

เราได้ยิน เราได้ยินคนมาเล่าให้ฟังเรื่องอย่างนี้ เราฟังแล้วเศร้า แต่เวลาถ้าพูดออกไปแล้วกลายเป็น “ก็พระสงบอยู่กับต้นไม้ พระสงบก็อยู่ในสังคมแห้งแล้ง เห็นเขาชุ่มชื่น เห็นเขามีคนส่งเสริมแล้วก็อิจฉาตาร้อน”

เวลาคนพูดมันจะพูดอย่างนั้นน่ะ มันจะพูดว่าเป็นการอิจฉาตาร้อน มันไม่ได้พูดว่าที่เขาพูดนี่เขาเตือนสติ เขาส่งเสริมคุณธรรมนะ มันจะบอกว่าพวกนี้พวกอิจฉาตาร้อน ศาสนากำลังจะเจริญรุ่งเรืองด้วยการดูคลิป แหม! ก็มาขัดอกขัดใจ มาทำลายเขา

นี่พูดถึงพวกดูคลิป ฉะนั้นบอกว่า “ในโลกโซเชียลมันมีคลิป คลิปที่ไม่เหมาะสมมากมาย มันจะเหมาะสมกับพระสงฆ์หรืออย่างไร”

ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม เพราะเวลาที่บอกว่าพระใช้โทรศัพท์ได้หรือไม่ ก็การใช้เพื่อการสื่อสาร ใช้เพื่อประโยชน์กับสงฆ์ เรื่องการติดต่อ เพราะว่าพระเวลาการบริหารปกครองเขาก็ต้องมีความจำเป็นบริหารสั่งการเหมือนกัน การบริหารสั่งการอย่างนั้นก็โทรศัพท์พูดคุยกันโดยเนื้องาน อย่างนี้สมควรใช้โทรศัพท์หรือไม่ สมควร ใช้ได้ แต่การใช้ การใช้แล้ว ถ้าเราไม่ฝึก ไม่มีสติไม่มีปัญญา ถ้ามีสติปัญญา เราฝึกหัดของเรา เราทบทวนตลอดเวลา

พระเราเวลาผิดพลาดขึ้นมาเขาปลงอาบัติทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าปลงอาบัติแล้ว ถ้าพระเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เป้าหมายของพระคือการประพฤติปฏิบัติ

หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าพระไม่ทรงธรรมวินัย ใครจะทรง ถ้าพระจะทรงธรรมทรงวินัยมันต้องมีสติปัญญาเพื่อบริหารศีลของตนเอง บริหารคุณธรรมในหัวใจของตน ถ้าทำอย่างนี้ปั๊บมันจะพัฒนาขึ้นไป ถ้าพัฒนาขึ้นไปนะ เขาจะไม่แฉลบไปดูคลิปดูบ้าบอคอแตกนั่นน่ะ

ตัวเราก็มี เนื้อหนังมังสามันอยู่ที่เรา หัวใจมันก็อยู่ที่เรา เวลาสงสัย สงสัยไปข้างนอก เวลาในหัวใจเราไม่เคยค้นคว้า เวลาจะไปดูคลิปๆ เรื่องของตน กิเลสในหัวใจของตนมันมากมายมหาศาลขนาดไหน เรื่องความเลวร้ายในหัวใจน่ะ เวลาความคิด ความคิดความยุแยงตะแคงรั่วในใจมันมีมากมายมหาศาลแค่ไหน

ไอ้ละครน้ำเน่า ละครน้ำเน่าที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อออกทีวี เขาสร้างขึ้นมา หนังน้ำเน่าเขาสร้างออกมาเพื่อหาเงินหาทองกันน่ะ สิ่งนั้นมันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากมนุษย์ทั้งนั้นน่ะ มนุษย์เป็นผู้ทำทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามนุษย์เป็นผู้ทำ มนุษย์ที่ทำมันทำมาจากไหน มันก็ทำมาจากหัวใจของมัน

ถ้าในหัวใจของคน ในหัวใจของมัน มันมีเรื่องเลวร้ายอย่างนี้มันมหาศาล เรื่องเลวร้ายในหัวใจของเราทำไมมันไม่ดู ทำไมมันไม่พิจารณา ทำไมมันไม่ทำของมัน ทำไมมันต้องไปดูคลิปวิดีโอจากภายนอก

ผู้ถามก็เหมือนกันว่า เวลาพระ สิ่งนั้นมันมีอยู่แล้ว มันสมควรหรือไม่ที่พระจะไปดู

ถ้าพระที่เป็นความจริงเขาไม่ใช้ของเขาหรอก จะบอกว่าโทรศัพท์นี่ห้ามใช้เลย โลกมันเจริญขึ้น ความโลกมันเจริญขึ้น มนุษย์มันเจริญขึ้น สังคมมันเจริญขึ้น เราเคยพูดบ่อยนะ เราใช้ความใคร่ครวญของเราเอง

เราดูเถรวาท เอาเฉพาะเถรวาท เถรวาทในเมืองไทย ในเมืองไทย ในเถรวาทด้วยกัน เขายกย่องสรรเสริญ ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาอยู่ที่เมืองไทย แต่อยู่ที่เมืองไทยแล้ว เมืองไทยเป็นพุทธทุนนิยม เป็นพุทธทุนนิยมเพราะอะไร

เพราะว่าประเทศไทยเรื่องเศรษฐกิจมันเจริญ พอเศรษฐกิจมันเจริญ เพราะระบบเศรษฐกิจเข้าไปซัปพอร์ต เข้าไปเชิดชูศาสนา พอเชิดชูศาสนาด้วยทุนนิยม ทุกอย่างมีหมดเลย ไปดูเถรวาทในแต่ละประเทศ ในแต่ละประเทศเศรษฐกิจของเขามันไม่เจริญขนาดนี้ ฉะนั้น พระของเขา ผู้ที่ไปสนับสนุนมันก็ไม่สมบูรณ์แบบทุนนิยมของเรา

ถ้าทุนนิยมของเรา พระก็เลยกลายเป็นศาสนาพุทธพาณิชย์ ศาสนาทุนนิยม ศาสนาทุนนิยม พระพุทธศาสนาเป็นทุนนิยม เพราะทุนนิยมมันถึงมีสิ่งที่อำนวยความสะดวกมากมายมหาศาล แล้วก็อ้างกัน อ้างกันว่าเป็นการเผยแผ่ศาสนา อ้างกันว่าสิ่งนี้มันเป็นความจำเป็นศาสนา

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่ความเป็นศาสนามันคือการประพฤติปฏิบัติ

ความเลวร้ายในใจมหาศาลนะ ความเลวร้ายในหัวใจนี่ ถ้าประเทศที่เขาไม่เป็นทุนนิยม เขาก็อยู่กับเศรษฐกิจท้องถิ่น พอเศรษฐกิจท้องถิ่น แล้วเวลาไปเผยแผ่ เราดู เราดูข่าวสารอยู่ เราไปเผยแผ่นี่ก็ แหม! เหมือนกับผู้ดีไปบ้านนอก ไปวางกล้ามกัน ดูแล้วมันสังเวช

มันต้องย้อนกลับมาที่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสมอกัน แต่ว่ามันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ดีกว่าเขา ระบบเศรษฐกิจที่ดีกว่าเขา สิ่งใช้สอยมันก็ดีกว่าเขา ระบบเศรษฐกิจเขาต่ำกว่าเรา เขาก็ใช้สอยของเขา แต่หัวใจเขายิ่งใหญ่ เขาเผยแผ่ของเขา เขาก็ดูแลศาสนาของเขาได้เหมือนกัน

นี่พูดถึงคลิปนะ ฉะนั้นบอกว่าโทรศัพท์ใช้ได้หรือไม่ แล้วใช้แล้วในนั้นมันมีคลิปโป๊ คลิปที่ไม่เหมาะสม มันจะเหมาะสมกับพระสงฆ์หรือไม่

นี้มันก็อยู่ที่ความละอาย ความละอายเฉพาะตนนะ ถ้าความเป็นเฉพาะตนเขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เราจะบอกว่าพระที่เขาเป็นพระจริงๆ เขาไม่ใช้ มันไม่ใช้หรอก มีเยอะแยะ พระที่ไม่มีโทรศัพท์มีเยอะมาก แล้วพระที่เขามีโทรศัพท์ แต่โทรศัพท์เขาใช้เฉพาะสื่อสารก็เยอะมาก แล้วพระที่เขามีโทรศัพท์แล้วเขาอวดอ้างแบบโลกแบบทุนนิยม เขามีแล้วเขามาอวดกัน เขาไปแอบดูแอบทำกันน่ะ

เพราะว่ามันมีข่าว มันมีข่าวเวลาพวกพระเขาแต่งเป็นแบบเพศที่สองแล้วเข้าคลิปกันร้อยแปด ใครๆ เขาก็เห็นน่ะ อย่างนั้นมันมีอยู่ไหม มันก็มี ถ้ามีแล้วมันเข้ามาได้อย่างไร

เพราะศาสนานี้เป็นสมบัติสาธารณะ สมบัติของชาวโลก สมบัติของสามโลกธาตุ ทุกคนก็มีสิทธิ์ทั้งนั้นน่ะ แล้วพอเข้ามาแล้วเขาก็ทำของเขาอย่างนั้น มันก็เป็นโทษเป็นภัยของเขาอย่างนั้น แล้วเวลามันเป็นขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรล่ะ

มันก็เป็นกรรมของสัตว์ไง มันเป็นความละอายเฉพาะตนไง ถ้าความละอายเฉพาะตน ถ้าใครมีความละอาย มีการกระทำ มันก็ทำแต่เรื่องดีๆ ไง

นี้พูดถึงเรื่องโทรศัพท์นะ อันนี้มันก็บอก หลวงตาท่านพูดไว้แล้ว มันเป็นเพชฌฆาตทำลายพระ ถ้าคนที่ไม่มีสติปัญญา

แต่คนที่เป็นพระที่มีสติปัญญาที่ต้องการใช้สอยโทรศัพท์นั้นเพื่อการสื่อสารใช้ได้ไหม ได้ ถ้าบอกไม่ได้เดี๋ยวโลกแตก

ใช้ได้ไหม ได้ แต่ใช้ด้วยความเป็นปัญญาชน ใช้ได้ด้วยธรรมวินัย ด้วยสิ่งใดที่ห้ามแล้ว

ไม่ได้ใช้ ไม่ได้ดู เผลอกดไป เผลอกดไปโดน มันเลยขึ้นมาเลย นิ้วมันกดผิด

แต่ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ การใช้สอยคือใช้สอย ถ้าใช้สอย ใช้ได้หรือไม่ได้

แต่นี่พูดเลย เราก็ไม่มี เราไม่มีโทรศัพท์หรอก แม้แต่โทรศัพท์คนอื่นมาให้ใช้ ในวัดนี้ก็มีอยู่ เวลาเราติดต่อ ติดต่อกับสาขานี่แหละ สาขาจะโทรมาขออนุญาตนู่น ขออนุญาตนี่ หยิบผิด กดปิดไปเลย ทั้งๆ ที่ต่อมาแสนยากนะ อยู่ในป่า เขาต้องขึ้นไปบนภูเขานะ แล้วค่อยโทรมาที่นี่ แล้วพอพระก็วิ่งมาให้เราพูดไง พอไปกดปั๊บ ไปปิดเลย ต่อใหม่ๆ

เวลาเขาสื่อสารมา เราก็มีไว้ แต่ธรรมดานี่เราไปดูแลอยู่แล้ว แต่เวลาจำเป็นเขาจะโทรมาๆ ระหว่างวัดต่อวัดเราจะมีไว้สื่อสาร เพราะของมันมีอยู่

ฉะนั้น โทรศัพท์ใช้ได้ไหม ได้ ถ้าไม่ได้ เราก็ใช้ แต่ใช้เป็นสมบัติกลาง เราไม่มี เราไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วไม่เป็นด้วย แล้วไม่ศึกษาด้วย แล้วไม่ต้องการศึกษาด้วย เพราะว่าเรื่องโลกไร้สาระ เราจะศึกษาหัวใจของเราเอง

เวลาพูดนี้แล้วเราคิดถึงหลวงตา หลวงตาท่านทำโครงการช่วยชาติฯ ท่านทำเรื่องยิ่งใหญ่มาก ท่านปรึกษาใคร ปรึกษาธรรมะ เวลาท่านมีปัญหาปั๊บ ท่านเข้าทางจงกรมเลย พอเดินจงกรม ปัญญามันจะหมุนเลย แล้วสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก มันจะบอกหมด

แล้วถ้าไปปรึกษา ปรึกษาในโลกนี้ พระองค์ใดบ้างที่มีคุณธรรมสูงส่งแบบหลวงตา ภาษาเราเลยนะ เราจะไปปรึกษาคนมีกิเลสหรือ คนมีกิเลสมันต้องเห็นแก่ตัว มันต้องพูดเข้าข้างตัวเองแน่นอน

แม้แต่โครงการช่วยชาติฯ เขาก็บอกต้องตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม แล้วคนมันมีวาระในใจมาทั้งนั้นน่ะ มีส่วนร่วม เขาก็ต้องประชุมแล้วเพื่อวาระของเขา หลวงตาถึงไม่ให้ใครเป็นกรรมการทั้งสิ้น ท่านเป็นกรรมการคนเดียว เป็นผู้รับเงินคนเดียว เป็นผู้เซ็นเช็คคนเดียว เป็นผู้สั่งจ่ายคนเดียว เพราะท่านเคารพธรรมไง เวลาท่านปรึกษา ปรึกษาธรรมไง

นี่ก็เหมือนกัน เราจะไปปรึกษาใคร ปรึกษาธรรมะไง นี่ก็เหมือนกัน เราจะไปดูอะไร เรื่องอะไรที่มันต้องน่าสนใจ มันมีอะไรน่าสนใจอีก มันมีอะไร มันมีอะไรที่สงสัย มันมีอะไรที่ต้องไปหา มันถึงไม่มีไง มันถึงไม่สนใจ

ฉะนั้น คำถามเฉยๆ เขาบอกว่า “ขอความเมตตาหลวงพ่อเพื่อสัตว์โลกไง”

เวลาจำเป็นต้องใช้ไหม จำเป็นใช้ เราก็ใช้ ประสาโลก โลกเขาสร้าง ปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้นมาเพื่อความเจริญของโลก เราอยู่กับโลก แต่เราใช้ในแง่บวก ใช้เป็นผลประโยชน์ไง

แต่การใช้ไปคุ้นชินคุ้นเคยนี่ไม่ได้ คุ้นชินแล้วเราจะไม่ระวังภัย ถ้าไม่ระวังภัยแล้วมันจะมีผลอย่างนี้ ไปคุ้นชินกับมันไง สื่อสารๆ ไป มือกดผิด กดไปโดนคลิปเข้า พอเห็นแล้วมันติดใจเพราะไม่เคยเห็น บวชมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่น้อย ตั้งแต่เณรจนเป็นวัยรุ่น ไม่เคยเห็น พอไปเห็นเข้าตาพองเลยนะ ติดใจ คราวนี้กดผิดบ่อยเลย

สิ่งนั้นมันไม่สมควรใช่ไหม ถ้าใช้เป็นประโยชน์ ใช้ได้ แต่ถ้ามันสมควรไหม ไม่สมควร มันมีความละอายไง มีความละอายก็อย่างที่เราพูดนี่

เราเคยออกวิเวก เรามีประสบการณ์ของเรานะ เวลาไปอยู่ในป่า พระมาปลงอาบัติบ่อยเลย เรายังแปลกใจว่า เอ๊ะ! ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่พรรษาเขาเยอะกว่าเรา แต่พอเราภาวนาเป็นขึ้นมาแล้วเลยเข้าใจได้ว่า เขาไม่ไว้ใจตัวเขาเอง

เพราะเราก็ไปกับเขา แล้วเราเพิ่งพรรษาเดียว เราเข้าไปในป่า เราไม่ต้องปลงอาบัติเลยเพราะเรายังไม่มีข้อมูลอะไรเลย มันยังแบบว่าโลกสวย ยังมองทุกอย่างดีงามไปหมดไง แล้วมันก็ไม่มีอาบัติใช่ไหม ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ทำไม เอ๊ะ! เขามาปลงอาบัติบ่อยๆ ล่ะ

แต่พอเราภาวนาเป็นขึ้นมาเราถึงบอก อ๋อ! เขาไม่ไว้ใจในความคิดเขาเอง เพราะเขาระแวงในตัวเขาเอง เขาถึงมาปลงอาบัติบ่อยๆ

แล้วเวลาธุดงค์ไปจะไปเห็นไง ในวงกรรมฐานเราถ้าคนที่จริงจังมีความผิดพลาดสิ่งใดจะรีบปลงอาบัติ รีบปลงอาบัติ อ๋อ! อ๋อ! เวลาภาวนาไปมันจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ ถ้าอยู่ในวงกรรมฐาน ในวงของผู้ที่อยากปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ เขาพยายามจะขวนขวายเรื่องอย่างนี้

ฉะนั้น เรื่องที่เป็นอาบัติที่พระทำกันอย่างนี้ไม่ต้องไปพูดถึง มันหยาบเกินไป มันหยาบเกินไปที่เราจะลงไปคลุกคลีไง

วงกรรมฐาน วงครูบาอาจารย์เรา ท่านพยายามจะเอาหัวใจพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล มันเป็นปรารถนา มันเป็นการแสวงหา ท่านขวนขวายแสวงหาสิ่งนี้ ท่านไม่ไปขวนขวายโทรศัพท์ ไม่ขวนขวายคลิปวิดีโอ ไม่บ้าบอคอแตกอย่างนั้นหรอก

เว้นไว้แต่เวลาจิตมันดี มันพัฒนาขึ้นไป มันก็ขวนขวายอย่างนี้ เวลามันเสื่อมถอยมามันไปเลวร้ายอย่างนั้นน่ะ เพราะไปคบกับสังคมอย่างนั้นไง เพราะในใจของเรามันมีอยู่แล้ว เพราะกิเลสในใจของคน โอ้โฮ! มหาศาล

เวลาที่มันดีขึ้นมาเพราะด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยการคุ้มครองดูแล เวลามันเสื่อมมันเหมือนเขื่อนแตก เวลาเขื่อนมันแตก มันพังทลายใส่เรา เรารับไม่ได้ ลงไปหยำเปอย่างนั้นเลย นี่เวลาจิตมันเจริญ มันเจริญอย่างนี้ เวลามันเสื่อม มันก็เสื่อมอย่างนั้นน่ะ

นี่พูดถึงว่าในวงปฏิบัตินะ นี่ในวงปฏิบัติในความเป็นจริง

เพราะเขาบอกว่า “ขอให้หลวงพ่อช่วยเทศนาเพื่อโปรดขอความเมตตาต่อสัตว์โลก”

ไอ้นี่พูดถึงประสบการณ์เลยล่ะ แล้วทีนี้พอประสบการณ์แล้ว เราก็ปฏิบัติมากับหมู่คณะมาเหมือนกัน แล้วเราก็มาเป็นหัวหน้าอยู่ที่นี่เหมือนกัน ฉะนั้น เวลาว่าโทรศัพท์จะใช้ได้หรือไม่ ได้ ถ้ามันได้ด้วยการสื่อสาร เพื่อการสื่อสาร ส่งข่าวสาร อย่างนี้ได้

แต่ถ้าไปดูคลิปหรือว่าไปพูดกับสีกาสองต่อสอง ผิดทั้งนั้น แล้วผิดไม่มีใครรู้ คนทำน่ะรู้ คนทำน่ะรู้ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมดี กรรมชั่ว ถ้ากรรมมันทำแล้ว กรรมมันต้องให้ผล กรรมไม่เคยทำแล้วไม่มี ใครทำดีต้องได้ดี ใครทำชั่วต้องได้ชั่ว ใครไปโทรศัพท์พูดคุยอย่างไร มันก็มีกรรมกับใจดวงนั้น ใครทำกรรมสิ่งใดไว้ กรรมนั้นจะสนองกับใจผู้กระทำนั้น เอวัง